[รีวิว]หนังสือ “คิดมากไปทำไมอีก 100 ปีก็ตายกันหมดแล้ว” [เล่มที่ 42 ของปี 2023] #หนังสือน่าอ่าน

คิดมากไปทำไมอีก 100 ปีก็ตายกันหมดแล้ว - Lumii 20230425 210723598 - ภาพที่ 1

หนังสือ คิดมากไปทำไมอีก 100 ปีก็ตายกันหมดแล้ว เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับคนที่มีความกังวลกับสายตาคนอื่นมาตลอด รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนไม่มีใครเข้าใจ มีนิสัยขี้กังวล คิดมากได้แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จิตตกไปทั้งวันเพราะคำพูดแค่ไม่กี่คำ หนังสือเล่มนี้จะบอกกับเราว่า ชีวิตเนี่ยมีเรื่องดีๆ อีกมากมาย แต่จะคิดมากไปทำไมอีก 100 ปี ก็ตายกันหมดทุกคนอยู่แล้ว เนื้อหาในหนังสือจะพาให้เราพบกับข้อคิดเล็กๆ ที่จะช่วยให้เราเลิกคิดฟุ้งซ่าน แล้วเริ่มทวงคืนความสบายใจให้ตัวเอง

หนังสือ คิดมากไปทำไมอีก 100 ปีก็ตายกันหมดแล้ว เริ่มต้นมาจากทวีตที่มีคนกดไลค์กว่า 1.8 ล้านครั้งสู่หนังสือสุดฮิตที่กลายเป็นกระแสทั่วประเทศญี่ปุ่น เขียนโดย Naonyan (นาโอะเนียน) สำนักพิมพ์ วีเลิร์น (WeLearn) หนังสือเล่มนี้จะพาเราเกาะติดครึ่งชีวิตที่ผ่านมาของคุณนาโอะเนียนไปพร้อมๆ กับการแสดงให้เห็นถึงวิธีการรับมือกับความเป็น HSP ในแง่บวก

สั่งซื้อหนังสือ

เนื้อหาในหนังสือ คิดมากไปทำไมอีก 100 ปีก็ตายกันหมดแล้ว พูดถึงคนที่เป็น HSP หรือ Highly Sensitive Personality Traits ซึ่งหมายถึงบุคคลที่มีความอ่อนไหวในระดับสูง คนที่เป็น HSP มีอยู่หลายรูปแบบ มีทั้งแบบที่มีสัมผัสที่ไวต่อสถานการณ์รอบตัวและมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับคนอื่นมากกว่าตัวเอง แล้วก็มีแบบที่เป็นผู้นำซึ่งใช้ความสามารถของ HSP ในการทำความเข้าใจและขับเคลื่อนคนอื่นโดยเช่นกัน

คิดมากกับการถูกประเมิน เป็นเด็กที่ใส่ใจคะแนนสอบสุดๆ

แม่ของผู้เขียนเป็นครูโรงเรียนประถม เวลาอยู่โรงเรียนก็ทำตัวเป็น “เด็กดี” มาตลอด ครูประจำชั้นก็เป็นเพื่อนร่วมงานเก่าของแม่บ้าง คนรู้จักบ้าง ทำให้รู้สึกกดดันว่าถ้าไม่เป็นเด็กดีจะทำให้แม่เดือดร้อน จึงตั้งใจกับเรื่องเรียนเป็นพิเศษ เพราะเวลาสอบได้คะแนนไม่ดี แม่มักจะถอนหายใจด้วยความผิดหวัง ถ้าได้คะแนนไม่ดีก็จะจิตตก ครูประจำชั้นเองยังเคยพูดด้วยความเป็นห่วงว่า “ถ้าเรื่องแค่นี้ยังจิตตกขนาดนั้นต่อไปจะใช้ชีวิตยังไง”

ทุกวันนี้คิดได้แล้วว่า ของอย่างคะแนนสอบสมัยประถมไม่สามารถมากำหนดชีวิตในวันข้างหน้าได้หรอก แต่ตอนนั้นมันเป็นมาตรฐานกฎเกณฑ์ในโลกเล็กๆ ที่ชื่อว่าโรงเรียน

คิดมากไปทำไมอีก 100 ปีก็ตายกันหมดแล้ว - Lumii 20230425 210800372 - ภาพที่ 3

เคยชอบหมาแต่ตอนนี้กลัวแล้ว หมาที่เลี้ยงไว้ไปกัดยายจนเจ็บหนัก

ยายซึ่งไม่รู้นิสัยของหมาตัวนี้เข้าไปใกล้ระหว่างมันกำลังกินอาหารยายเลยถูกกัดจนแก้มฉีก วันรุ่งขึ้นหมาเลยถูกส่งไปอยู่โรงเรียนฝึกปรับพฤติกรรม ทำให้ไม่ได้เจอหมาแสนรักของตัวเองอีกเลย ส่วนยายแม้จะรอดมาได้แต่ก็บาดเจ็บสาหัส การถูกพรากจากสุนัขที่รักกลายเป็นบาดแผลทางใจที่สะอาดมาก ทั้งที่ก่อนหน้าชอบหมามาก แต่นับจากนั้นก็กลับกลายเป็นว่ากลัวมันขนาดหัวใจแทบหยุดเต้นเวลาโดนเหาใส่

แต่สัตว์ไม่ได้มีความผิด ถ้าบ้านไหนสั่งสอนให้ดีไม่ได้ ได้โปรดเถอะอย่าเลี้ยงสัตว์เลย

กลัวการไปหาจักษุแพทย์

เป็นคนสายตาไม่ดีมาแต่ในแต่ไร แล้วก็กลัวการวัดสายตาที่โรงเรียนมาก เพราะทุกครั้งที่สายตาแย่ลงแม่จะดูผิดหวังมากๆ การเห็นภาพนั้นทำให้รู้สึกแย่เหลือเกิน

เวลาวัดสายตาจะจ้องเขม็งแล้วตอบแบบเดาส่งไปว่า ขวา แต่ถ้าตอบผิดก็จะผิดหวัง แล้วก็รู้สึกแย่เวลาเห็นแม่ถอนหายใจหลังดูผลตรวจค่าสายตาที่แย่ลง และสมัยนั้นแว่นราคาแพงมาก ทำให้ตอนที่ต้องตัดแว่นแม่จะยิ่งถอนหายใจหนักแล้วพูดว่า “ใช้เงินเยอะจัง” ทำให้รู้สึกผิดราวกับตัวเองไปก่อความผิดร้ายแรงมาได้แต่โทษตัวเองที่สายตาไม่ดี

ว่ากันตามตรงขนาดตอนนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังกลัวการถอนหายใจของแม่อยู่เลย รู้สึกราวกับถูกย้ำว่าห้ามทำให้แม่ผิดหวังเด็ดขาด

การถอนหายใจของพ่อแม่อาจเป็นบาดแผลทางใจสำหรับเด็กและส่งผลต่อบุคลิกภาพในภายหลัง ดังนั้น ถ้าเป็นไปได้อย่าถอนหายใจให้เด็กเห็นเลย

คิดมากไปทำไมอีก 100 ปีก็ตายกันหมดแล้ว - Lumii 20230425 210747852 - ภาพที่ 5

พอไม่มีเวลาได้อยู่คนเดียวแล้วทรมาน อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้

สมัยเรียนมหาวิทยาลัยอยู่คนเดียวแทบจะตลอด เวลาพอเริ่มทำงานเลยอึดอัดเวลาต้องอยู่ร่วมกับคนอื่น ไม่ว่าอย่างไรก็อยากมีเวลาที่ได้อยู่คนเดียวบ้าง เวลาพักจริงชอบไปอยู่ในห้องเล็กๆ ที่ไม่มีใครใช้ หรือห้องน้ำชั้นอื่นคนเดียว

พ่ออยู่กับคนอื่นแล้วรู้สึกกดดันว่าต้องพูดอะไรสักอย่างเลยเลือกบันไดแทนการใช้ลิฟท์ บางทีอดสมเพชตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องใช้ชีวิตแบบคิดมากเรื่องคนอื่นขนาดนี้ด้วยนะ

ตอนนี้คิดได้แล้วว่าเราไม่จำเป็นต้องฝืนคุยกับคนอื่นก็ได้ แต่อาจเพราะตอนนั้นแกล้งทำตัวเป็นคนสดใสร่าเริงอยู่ เลยยิ่งพะวงกับสายตาคนอื่นหนักกว่าปกติก็ได้

ใส่ใจมารยาทมากเกินไปแม้แต่ในรถไฟก็ยังเหนื่อยใจ

หลายครั้งก็ต้องเหนื่อยใจเพราะใส่ใจมารยาทบนรถไฟมากเกินไป เวลามีคนที่ดูไม่ออกว่าเป็นผู้สูงอายุหรือเปล่าขึ้นมาบนรถไฟจะคิดหนัก ไม่แน่ใจว่าควรลุกให้นั่งดีหรือเปล่า ถ้าคิดจะลุกก็กลุ้มใจอีกว่าควรบอกอย่างไรดี แล้วก็คิดเลยเถิดไปว่าถ้าอย่างนั้นไม่ต้องนั่งตั้งแต่แรกดีกว่า

การรักษามารยาทเป็นเรื่องดีก็จริงแต่ถ้าใส่ใจมากเกินไปสักวันอาจเป็นโรคประสาท พักหลังนี้จึงนั่งรถไฟด้วยกฎว่าจะลุกให้กับผู้สูงอายุ คนท้อง คนพิการ นอกเหนือจากนั้นก็ช่างมันแล้วล่ะ

คิดมากไปทำไมอีก 100 ปีก็ตายกันหมดแล้ว - Lumii 20230425 210736407 - ภาพที่ 7

พอเห็นคนโกรธแล้วกลัว เป็นเดือดเป็นร้อนกับอารมณ์หัวหน้า

เวลาหัวหน้าดูอารมณ์เสีย จะรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที และมักจะคิดไปเองว่าหัวหน้ากำลังโกรธตัวเองหรือเปล่า ด้วยความอ่อนไหวง่ายต่ออารมณ์ของคนรอบข้าง พอเห็นพนักงานคนไหนอารมณ์เสียก็จะวิตกจริตว่า เราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า

ทุกวันนี้เวลามีคนอารมณ์เสียในที่ทำงาน กลับคิดว่าแล้วทำไมเราต้องไปเดือดร้อนด้วย อยู่ในช่วงเวลางานแท้ๆ แต่กลับมาหงุดหงิดงุ่นง่านเพราะอะไรก็ไม่รู้ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่มีมารยาท ทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนไปด้วย คนที่ทำอารมณ์เสียนั่นแหละที่ผิด พอคิดได้แบบนี้ก็เลิกคิดมากได้

คุยเล่นไม่เก่ง คุยกับคนที่บริษัทไม่ได้

ด้วยความที่เป็นคนมีปัญหาด้านการสื่อสาร พอเริ่มทำงานได้ประมาณ 3 เดือน ก็แทบจะคุยกับใครไม่ได้อีกต่อไป ยิ่งเป็นการคุยเล่นยิ่งไม่ถนัดเข้าไปใหญ่ ไม่รู้จะเข้าไปร่วมวงเวลาคนอื่นกำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนานได้อย่างไร พอคิดแบบนั้นก็แทบไม่คุยกับใครในบริษัทเลย

แต่หลังๆ มานี้เริ่มเข้าใจ เราไม่จำเป็นต้องพูดหมดทุกเรื่อง ที่สำคัญแม้ตัวเราจะมองว่าการไม่พูดไม่จาเป็นปมด้อย แต่สำหรับบางคนแล้วมันอาจจะทำให้เขาดูเป็นคนสุขุมก็ได้ ทุกสิ่งมีหลายแง่มุมมันจึงขึ้นอยู่กับว่าเรามองอย่างไร อย่ามองแค่มุมเดียวแล้วเอาไปจิตตก