หนังสือ “ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน” พึ่งอ่านจบได้ 2-3 วัน ที่ผ่านมา ขอหยิบมาสรุปเนื้อหาและรีวิวหน่อย เล่มนี้อ่านง่ายมาก อ่านจบเร็ว เล่มเล็ก ตัวหนังสือตัวใหญ่ และมีช่องว่างค่อนข้างเยอะ
หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 28 วิธีคิดที่จะช่วยให้ชีวิตผู้อ่านได้ปลอดโปร่ง สบายกายสบายใจและเลิกฝืนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบสิ่งที่ตัวเองรู้สึกแย่หรืออะไรที่ต้องอดทนทำตามคุณค่าที่สังคมบอกว่าต้องทำ เลิกเดินตามความคาดหวังของคนอื่น และหันมาใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อตัวเองจริงๆ เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องพยายามจนเหนื่อยล้าและไม่ต้องฝืนทนใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น
ในบทนำของหนังสือพยายามชี้ให้เห็นว่าสังคมที่เราอยู่ตอนนี้เป็นสังคมที่ทั้งสงบสุขและอยู่ดีกินดี แต่ก็เป็นสังคมที่การเห็นคุณค่าในตัวเองและการค้นหาความหมายในชีวิตเป็นสิ่งที่ทำได้ยากเช่นกัน เพราะคนส่วนใหญ่ทำตามกฎที่คนอื่นและสังคมกำหนด ให้ความสำคัญกับมันมากกว่ากฎของตัวเอง และพยายามอดทนกับมันมากจนเกินความจำเป็น
เราถูกยัดเยียดกดและระบบคุณค่าที่คนอื่นกำหนด บางครั้งบางคราวสิ่งที่เป็นตัวตนของเรากับวิถีชีวิตในแบบของเราก็ไม่ได้รับการยอมรับ จนต้องฝืนใจทนกับเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย แต่ทั้ง ๆ ที่ร่างกายและจิตใจทรมานจนแทบทนไม่ไหว คนส่วนใหญ่ก็ยังกัดฟันทนต่อด้วยเหตุผลที่ว่า “พ่อแม่บอกมา” “คนรักบอกมา” “มันเป็นสามัญสำนึก” หรือ “คนส่วนใหญ่ในสังคมก็ทำกันแบบนี้”
มีคนส่วนน้อยในสังคมที่รู้ตัวว่าเรากำลังอดทนอยู่เราใช้ชีวิตในแบบของตัวเองไม่ได้
เพราะในความเป็นจริงมีคนมากมายพยายามทำตัวให้สอดคล้องกับกฎและระบบคุณค่าของคนอื่นมากเกินไปจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังอดทนอยู่
แต่เมื่ออายุล่วงเลยผ่านมาจนถึงระดับหนึ่ง พอย้อนมองดูชีวิตตัวเองหรือบังเอิญเจอเหตุการณ์ที่สั่นคลอนระบบคุณค่าที่ยึดถือมาตลอด เขาจะรู้สึกว่าที่ผ่านมาเรามัวทำอะไรอยู่ เรามีชีวิตเพื่ออะไร แล้วช็อคจนความเป็นตัวตนแหลกสลายและรู้สึกว่าทุกอย่างว่างเปล่าไปหมด
หนังสือชี้ให้เห็นว่าเราควรมีเส้นแบ่งระหว่างตัวเรากับคนอื่นเพื่อให้เกิดความสุขที่แท้จริงโดยหนังสือจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่คือพื้นที่ที่เราต้องปกป้องและพื้นที่ที่คนอื่นต้องปกป้อง
ตัวอย่างเช่น จิตใจ ความคิด ร่างกาย และการใช้ชีวิต ตลอดจนชีวิตของเรา ถือเป็นพื้นที่ที่เราต้องปกป้อง แน่นอนว่ามนุษย์ไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียว จึงเป็นธรรมดาที่จะได้รับอิทธิพลจากคนอื่น หรือต้องช่วยเหลือคนอื่น หรือต้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องไม่ให้คนอื่นเข้ามารุกล้ำพื้นที่ของเรามากเกินจำเป็น และห้ามผลักภาระหรือสิทธิในการควบคุมตัวเองไปให้คนอื่น
ในทางกลับกันต่อให้มีความใกล้ชิดสนิทสนมแค่ไหน ต่อให้เป็นคนในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแม้แต่แฟน แต่จิตใจ ร่างกาย การใช้ชีวิต ตลอดจนชีวิตของเขา ก็เป็นพื้นที่ที่เขาต้องปกป้อง เราต้องไม่เข้าไปรุกล้ำเกินจำเป็นและห้ามไปแบกรับภาระหรือแย่งชิงพื้นที่ในการควบคุมและรับผิดชอบตัวเขา
เราชอบแนวคิดที่หนังสือพูดถึง คนที่ชอบโทษตัวเอง กับ โทษคนอื่น อาจดูเหมือนเป็นขั้วตรงข้ามกัน แต่จริง ๆ มันเกิดมาจากสาเหตุเดียวกันคือ เส้นแบ่งระหว่างตัวเรากับคนอื่นไม่ชัดเจน จึงไม่รู้ว่าพื้นที่ส่วนตัวเองต้องรับผิดชอบตรงไหนกันแน่ คนที่ชอบโทษตัวเองมักตีขอบเขตความรับผิดชอบกว้างกว่าความเป็นจริง ในขณะที่คนที่ชอบโทษคนอื่นจะตีขอบเขตความรับผิดชอบของตัวเองแคบกว่าความเป็นจริง
หนังสือให้แนวคิดที่ว่าภาวะที่มีความสุขหมายถึงการยอมรับเรื่องราวของตัวเองด้วยความจริงใจอย่างปราศจากความเคลือบแคลงหรือปั้นแต่งแล้วใช้ชีวิตด้วยเรื่องราวนั้นอย่างเต็มที่และสุดกำลัง ถ้ามีเรื่องราวของตัวเองที่สามารถยึดเหนี่ยวในการใช้ชีวิตไปจนวันตายได้แล้วก็มันก็คือความโชคดีอย่างที่สุดแล้ว
มีตอนหนึ่งในหนังสือที่พูดถึงเรื่องการตระหนักถึงการล้ำเส้นของคนอื่นอย่างฉับไว พูดถึงความสัมพันธ์ที่ไม่มีความเท่าเทียม แต่การจะตัดสินว่าความสัมพันธ์นั้นเท่าเทียมหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก หากอีกฝ่ายเป็นคู่ชีวิตหรือมีความเกี่ยวพันทางสายเลือด เพราะยิ่งเป็นความสัมพันธ์ที่มีความรักมากเท่าไหร่ความรักจะบดบางสายตาจนมองไม่เห็นการล้ำเส้น
ในหนังสือพูดถึงแนวคิดเรื่องความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สามีภรรยา หรือคนรัก สุดท้ายมันก็เป็นแค่ชื่อที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์เท่านั้นไม่มีอะไรเป็นหลักประกันได้เลยว่าความสัมพันธ์เหล่านี้จะเป็นความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริงซึ่งมันคล้ายกับบทความ “ความสำคัญทางความสัมพันธ์ มันไม่ได้วัดกันที่ชื่อเรียก” ที่เราเคยเขียนไว้
ในอีกบทหนึ่งพูดถึงเรื่องในขณะที่เรากำลังมีจิตใจอ่อนแอเราควรจะเจอคนแบบไหน มีช่วงนึงที่หนังสือแนะนำว่า ในขณะที่เรามีจิตใจอ่อนแอเราควรจะเจอคนที่มีพลังลบประมาณ 30% จะดีกว่าคนที่มีพลังบวก 100% เพราะคนที่มีพลังบวกมากเกินไปพลังใจของคุณจะถูกใช้ไปโดยไร้ประโยชน์คนที่มีพลังบวกมากเกินไปสามารถเป็นพิษต่อจิตใจที่อ่อนแอได้
คนที่มีพลังลบประมาณ 30% เป็นคนที่เคยมีชีวิตที่เคยผ่านความยากลำบากและความเศร้ามามากมายจึงสามารถยอมรับความอ่อนแอและความโหดร้ายของมนุษย์ได้ในขณะที่คนที่มีพลังบวกเต็มร้อย เป็นเหมือนคนที่เป็นแสงสว่างที่มีความสว่างเต็มร้อย อาจจะทำให้เรารู้สึกแสบตาจนทรมานได้
ก็จบไปแล้วสำหรับการสรุปเนื้อหาในหนังสือ “ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน” ที่อ่านจบแล้วขอรีวิวให้อ่านกัน ใครชอบหนังสือแนว ๆ จิตวิทยา และการพัฒนาตนเอง ก็ไม่ควรพลาดเล่มนี้
นังสือ “ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน” เป็นหนังสือที่เกี่ยวกับการจัดการชีวิตและการเผชิญหน้ากับความท้าทาย โดยเน้นไปที่ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงและการปรับตัวในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
หนังสือนี้สอนให้เราเห็นความสำคัญของการรับมือกับความไม่แน่นอนในชีวิต โดยการเตรียมตัวพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง และการตัดสินใจในสถานการณ์ที่ลำบาก นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือและเทคนิคต่างๆ ที่ช่วยให้เราสามารถดำเนินชีวิตอย่างมั่นคงและมีความสุขได้อย่างเต็มที่
ดังนั้นหนังสือ “ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน” เป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเรียนรู้วิธีการจัดการชีวิตให้ดีขึ้น และที่สำคัญคือการเตรียมตัวให้พร้อมกับการเผชิญหน้ากับความท้าทายในชีวิตและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิตของเรา