หนังสือเล่มที่ 182 ของปี 2023 ที่อ่านจบชื่อหนังสือ “ถึงจะอยู่บ้าน ก็ยังอยากกลับบ้าน” เล่มนี้ซื้อมานานมากๆ แล้ว จำไม่ได้เลยว่าดองมายาวนานแค่ไหน เป็นเล่มที่ แทฮยอง หรือที่รู้จักกันในชื่อวี BTS เคยแนะนำเรื่องนี้ที่งานที่จัดโดย US Grammy Museum Mini Masterclass ผู้เขียน Kwon Rabin (ควอนราบิน) ผู้แปล สุวัจนา สงวนสิน สำนักพิมพ์ Springbooks หนังสือที่บอกกับเราว่า ไม่ว่าใครก็ต้องการพื้นที่อบอุ่น หรือใครสักคนที่คอยโอบกอดเราเอาไว้
เกริ่นนำ
หนังสือ “ถึงจะอยู่บ้าน ก็ยังอยากกลับบ้าน” บอกเล่าเรื่องราวชีวิต ความฝัน ความรัก ความสัมพันธ์ และความรู้สึกต่าง ๆ ในใจทั้งสุข เหงา หรือสับสน บนพื้นฐานของหนังสือที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นประกอบไปด้วยเรื่องราวทั้งในแง่บวกอย่างเช่น การให้กำลังใจ การค้นหาความสุข ความเบิกบานใจเพราะความรัก เป็นต้น และในขณะเดียวกันก็บอกเล่าเรื่องราวในแง่ของความเศร้าทั้งการลาจากความเหงาในหัวใจ การตัดพ้อในความสัมพันธ์ แม้เป็นเรื่องราวที่มีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ของผู้เขียน แต่ก็เป็นเรื่องของความรู้สึกต่าง ๆ ที่เราเข้าถึงและรู้สึกร่วมได้
บางครั้งเราต่างเป็นนักเก็บชิ้นส่วนต่าง ๆ ชิ้นส่วนพวกนั้นมีขนาด รูปร่าง และสีสันต่างกันออกไป พอได้ลองเก็บชิ้นส่วนหลากหลายดูก็มีบ้างที่ทำหายไป หลงลืมไปหรือมีชิ้นส่วนที่ฉันเองก็ไม่มี บางชิ้นส่วนก็เข้ากันได้ดีกับทั้งร่างกายและหัวใจของเราอย่างไม่อาจรู้ได้มาก่อน บางชิ้นส่วนมีกลิ่นหอมและก็มีชิ้นส่วนที่ทำให้ทั้งหัวเราะและร้องไห้ออกมา ชิ้นส่วนเหล่านั้นก็คือความจำของเรานั้นเอง บ้างก็ถูกรวบรวมสร้างเป็นช่วงเวลา
ช่วงเวลาเหล่านั้นบ้างก็คงอยู่ตลอดไป หนังสือเล่มนี้จะช่วยคุณตามหาความจำที่หล่นหาย หรือช่วยให้คุณได้พยายามทบทวนความจำที่หลงลืมไปแล้ว รวมไปถึงกลายเป็นเวลาที่ได้มอบความจำที่ไม่เคยมีให้กับคุณ ด้วยชิ้นส่วนที่จะคงอยู่อย่างยาวนาน..บางสิ่งแม้จะเล็กน้อย แต่อย่าลืมให้ความสำคัญกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านั้น
สรุปข้อคิดจากหนังสือ “ถึงจะอยู่บ้าน ก็ยังอยากกลับบ้าน”
ไม่ว่าใครก็ต้องการพื้นที่อบอุ่นหรือใครสักคนที่คอยโอบกอดเราเอาไว้
เธออาจมีอิสระที่จะพูดสิ่งที่เธอคิด แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำร้ายจิตใจของฉันด้วยคำพูดนั้น ฉันเข้าใจดีว่าไม่อาจได้รับความรักจากทุกคน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่จำเป็นต้องเอาแต่โดนหินปาใส่ เพราะเธอไม่มีสิทธิ์มอบบาดแผลให้ฉัน
คำพูดที่เสียดแทงบาดแผลของคนอื่น ไม่อาจเป็นทั้งคำแนะนำหรือคำเตือนได้
จงอย่าเปรียบเทียบความลำบากของตนเองกับคนอื่น หากเรายิ่งคิดว่ากำลังเหน็ดเหนื่อยเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ นั่นจะยิ่งทำให้ตนเองเป็นทุกข์
ต่อให้ทะเลาะกันขนาดไหน ก็ไม่ควรพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
ต่อให้เกลียดขนาดไหนก็ต้องรักษาเส้นที่ไม่ควรข้าม
บางทีต้องรอให้ทุกอย่างพังลง เราถึงจะเข้าใจได้ทันทีว่า เราจับยึดความว่างเปล่าอันไร้แก่นสารมาตั้งแต่แรก
อย่ากลัวว่าจะรู้สึกเสียใจไปหลัง ชีวิตคนเราย่อมต้องได้สัมผัสความรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นจะต้องไปใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ยังไงความเสียดายก็เกิดขึ้นตลอดอยู่แล้ว ต่างกันแค่เสียดายมากหรือเสียดายน้อย
เราไม่จำเป็นต้องเดินทางเดียวกับคนอื่น
หากเราอยากได้รับความเคารพ ก็จงเคารพคนอื่นก่อน
อย่าเร่งตัวเองเพียงเพราะเห็นว่าช้าเมื่อเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนดโดยตัวเลขและสายตาของคนรอบข้าง การเปรียบเทียบมีแต่จะกัดกินตัวเรา
ไม่ต้องไปเทียบกับความเร็วของคนอื่นก็ได้ช้าหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไร
มาตรฐานความสุขของเราอยู่ที่ตัวเราไม่ใช่คนอื่น ความเจ็บปวดเองก็เช่นกัน
คำพูดและการกระทำของเราที่ออกไปทั้งหมดจะย้อนกลับมาที่ตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้าย
ความรู้สึกเกลียดชังในที่สุดก็จะทำให้เราเจ็บปวดเสียเอง
ความรู้สึกเกลียดชังใครสักคนท้ายที่สุดก็มีแต่จะสร้างบาดแผลให้ตัวเราเท่านั้นเอง
การได้แบ่งปันความเจ็บปวดกับคนที่มีความเจ็บปวดเหมือนเราทำให้ปลอบประโลมใจได้
ไม่ว่าจะความสัมพันธ์แบบใดก็ตาม ยิ่งใกล้ชิดกันเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่ควรละเลยช่วงเวลาอันเล็กน้อย
มันทำให้ดีเมื่อเขายังอยู่ ท้ายที่สุดแล้วเราต้องชดใช้ราคาที่ต้องจ่ายจากการหลงลืมคุณค่า
ในชีวิตมักมีช่วงเวลาที่ต้องตัดความสัมพันธ์ด้วยมือของตนเอง ตัดความสัมพันธ์ที่เหี่ยวเฉาและเน่าเสียออกไปเพื่อตัวเอง
ช่องทางซื้อหนังสือ
ซื้อได้ที่ (affiliate):
– Shopee: https://shope.ee/7f97DdCzDz
– Lazada: https://s.lazada.co.th/s.lUXL8?cc