หนังสือ พักให้ไหวแล้ว ค่อยไปต่อ ผู้เขียนเดียวกันกับ “ฉันไม่ใช่ผู้ใหญ่ ฉันแค่อายุ 30” เป็นหนังสือภาพกึ่งความเรียงที่เล่าเรื่องการดำเนินชีวิต ที่ต้องพบเจอกับความเหนื่อยล้าของคนวัยหนุ่มสาวที่กำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ย่อมมีทั้งเรื่องราวสุขทุกข์ ปัญหา เรื่องราว ความทรงจำ และคำถามมากมายที่เกี่ยวกับชีวิต แต่พอชีวิตข้าวใกล้ความเป็นผู้ใหญ่ก็แทบไม่เหลือช่องว่างให้อ่อนแอ บางครั้งในวันที่ใจอ่อนแอประท้วงว่าไม่ไหว บางทีสิ่งที่เราต้องทำคือ แค่หยุดพักให้เวลาตัวเองได้อยู่นิ่ง นอนกลิ้งเฉยๆอยู่บนเตียงสักวัน แล้วจับเขาคุยกับตัวเองว่า “เหนื่อยไหมมีอะไรอยากเล่าให้ฟังหรือเปล่า” ถ้าไหวแล้ว ค่อยไปต่อ
ต่อให้เหนื่อยก็ต้องทน เราก็ต้องทนเกลียดก็ต้องทน โกรธก็ต้องทน ฉันคิดว่าทางเดียวที่จะโตเป็นผู้ใหญ่ได้คืออดทนกับทุกสิ่งทุกอย่าง ทนและทนต่อไป แต่เมื่อทนไปเรื่อยๆกลับพบว่าใจของฉันแข็งกร้าวจนด้านชา
เมื่อใจด้านชาแล้วก็ไม่น่ารู้สึกเจ็บปวดหรือโกรธง่ายอีกแต่ไม่รู้ทำไมใจฉันถึงยังเจ็บปวดและโกรธอยู่ซ้ำๆ
คงดีกว่าถ้าเหนื่อยแล้วรู้จักพัก ร้องไห้บ้างเมื่อรู้สึกเศร้า ระบายความโกรธออกมาบ้าง คงทำให้ใจฉันแข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่
แต่ก่อนเคยคิดว่าคนที่ขยันใช้ชีวิตกว่าฉัน เขาคงไม่เคยหยุดพักเลย แต่พอมาคิดดูแล้วเหตุผลเดียวที่ทำให้ไม่ได้หยุดพักก็คือตัวฉันเอง “อย่าหยุด รีบวิ่ง วิ่งไปข้างหน้า” คนที่ตะโกนคำเหล่านี้ใส่ฉัน คนที่ไม่พอใจในตัวฉันก็คือฉันเอง
ฉันที่เอาแต่วิ่งไปข้างหน้า ต้องก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว คือสิ่งที่คอยเฆี่ยนตีให้วิ่งไปไม่หยุดสักพักก็วิ่งกลับมาจุดเดิม ก่อนเริ่มต้นการไล่จับอีกครั้งต่อให้เหนื่อยล้าก็ต้องวิ่งต่อไปไม่หยุดหย่อน เป็นอะไรที่สับสนวุ่นวายเสียจริง
เราต่างไขว่คว้าหาความสุข เห็นใครก็ไม่รู้อัพรูปร้านกาแฟสวยดีเลยต้องไปตามรอยบ้าง เห็นเพื่อนใส่รองเท้าสวยดีเลยต้องไปหารองเท้าคล้ายกันมาใส่บ้าง เห็นรุ่นพี่ใช้ลิปสติกสีสวยดีเลยต้องไปหาซื้อมาใช้บ้าง คอยทำตามคนอื่นทุกเรื่องแบบนี้อยากใช้ชีวิตแบบเขาหรือไงนะ
เราไล่ตามความสุขของคนอื่นจนคิดว่าเป็นความสุขของตัวเอง เรายกขบวนไล่ตามความสุขกันโดยไม่รู้ตัว
หรือฉันอาจจะอยากได้ยินคำตอบว่า “เธอน่ะมีความสุขอยู่แล้วล่ะ” บางทีเธอนั้นอาจเข้าใจฉันดีกว่าตัวฉัน ก็เลยถามไปว่า “ฉันดูมีความสุขดีไหม”
ช่วงวัย 9 ขวบที่ยังไม่เคยรู้และไม่เคยสงสัยว่าความสุขคืออะไรนั้นช่างมีความสุขเหลือเกิน เมื่อเป็นผู้ใหญ่ยิ่งดิ้นรนอยากมีความสุขความสุขก็ยิ่งห่างไกล ถึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ฉันจะไม่ไขว่คว้าหามันอีกต่อไปแล้ว เพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องมีความสุขให้ได้ในวันนี้
แม้ยังสับสนแต่เราอาจจะค้นพบเหมือนกับนีน่า คิมก็ได้ว่า คนที่คอยเฆี่ยนตีให้เราวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุดไม่ใช่ใครก็คือตัวเราเอง จนหลงลืมและมองข้ามวันธรรมดาแบบนี้ “วันที่แม้จะว่างเปล่าและไม่มีอะไรมากมายก็ยังเป็นวันที่ควรเห็นค่าและรู้สึกขอบคุณ”
ถ้าพรุ่งนี้และวันถัดไปจะยังมีเรื่องให้เหนื่อยอีกขอแค่อย่าลืมอนุญาตให้ตัวเองได้หยุดพักบ้าง
พักให้ไหวแล้ว ค่อยไปต่อนะ