หนังสือ เรื่องที่แบกไว้ เธอจะวางก็ได้นะ เป็นหนังสือที่รวบรวม 55 วิธีคิดที่จะทำให้ชีวิตเรามีความเบาสบายเหมือนนั่งจิบชาอยู่ เหมาะกับคนที่มีความเครียดในเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น มีความกังวลกับสายตาของคนรอบข้าง และฝืนยิ้มทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีความสุขอะไร โดยหนังสือเล่มนี้จะแนะนำวิธีให้เราวางเรื่องเหล่านั้นมันลงบ้าง โดยผู้เขียนได้แนะนำเคล็ดลับทางจิตวิทยา 55 ข้อที่จะช่วยให้เรามีชีวิตที่พอสบายขึ้นเหมือนกำลังนั่งจิบชา
หนังสือ เรื่องที่แบกไว้ เธอจะวางก็ได้นะ เล่มนี้สามารถอ่านจบได้ในเวลาแป๊บเดียว เราใช้เวลาอ่านสั้นที่สุดตั้งแต่อ่านมาทำลายสถิติหนังสือเรื่อง ป่านนี้เขานั่งกินไอติมสบายใจเฉิบไปแล้ว ไปเลย เราใช้เวลาอ่านช่วงเช้าและช่วงเย็นหลังเลิกงาน 1 วันและนั่งอ่านในร้านกาแฟอีก 1-2 ชั่วโมงก็จบแล้ว อันนี้รวมเวลานั่งเล่นมือถือเปิดดูโน่นดูนี่แล้วนะเนี่ยยังจบเร็วเลย
โดยหนังสือเล่มนี้จะทำให้เราตระหนักรู้และได้เรียนรู้เคล็ดลับในการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำให้เราได้รู้ว่าเราไม่ได้เป็นแบบนี้คนเดียว หรือ เรามีปัญหาแบบนี้นี่เองสินะ โดยเคล็ดลับในการเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นประกอบไปด้วยวิธีคิดวิธีวางตัวและพฤติกรรมแบบใหม่ ซึ่งจะสามารถเป็นแรงผลักดันให้เรากล้าที่จะปกป้องดูแลจิตใจตัวเองและคงจะมีความสุขมากขึ้น
โดยพูดถึงวิธีการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ทำให้เหนื่อย หรือกลุ้มใจทั้งหมด 55 สถานการณ์ ที่สำคัญเป็นหนังสือที่อ่านง่ายสามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เพราะหนังสือสรุปเนื้อหาในรูปแบบการ์ตูนและภาพประกอบไปด้วย อีกทั้งยังมีสรุปในท้ายบทเพื่อให้เรานำวิธีคิดนั้นไปใช้ได้สะดวกขึ้น
[รีวิว] สรุปเนื้อหา “เรื่องที่แบกไว้ เธอจะวางก็ได้นะ”
หลายคนคงเคยเจอคำพูดที่ประมาณว่า “ปกติแล้วต้องทำแบบนี้สิ” ซึ่งคำว่า “ปกติ” ในนี้หมายถึง ปกติของคนพูด ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำตามความปกติของคุณได้ รวมถึงความคิดของคุณด้วย อันที่จริงถึงบางคนรวมถึงตัวเราเองจะทำไม่ได้หรือไม่ทำตามก็ไม่เป็นไร ให้คิดเอาไว้ว่าไม่มีสิ่งไหนที่เราจำเป็นต้องทำให้ได้
คนโมโหเมื่อคนอื่นไม่ทำตามที่ตัวเองต้องการ ให้คิดว่า เราสามารถบอกความคิดของตัวเองให้คนอื่นรับรู้ได้แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะรับฟังเราเสมอไป
คนที่โมโหคนอื่นที่ไม่ทำตามที่ตัวเองต้องการนั้น ส่วนใหญ่เคยทำตามความต้องการของคนอื่นมาโดยตลอด คนแบบนี้จะประคับประคองความสัมพันธ์ด้วยการตอบสนองต่อความต้องการของคนอื่น ปรับตัวเข้าหาคนอื่น ส่งผลให้รู้สึกโมโหคนอื่นที่ไม่ทำตามที่ตัวเองคิดหรือต้องการ ถ้าเรารู้ตัวว่าที่ผ่านมาพยายามปรับตัวให้เข้ากับคนอื่นมาโดยตลอด เราแค่ต้องชื่นชมในความพยายามของตัวเองก็เพียงพอแล้ว
เราชอบประโยคหนึ่งในหนังสือในหัวข้อที่ 5 ที่บอกเอาไว้ว่า ถ้าคุณอยู่ในสภาพแวดล้อมที่จำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งอยู่ตลอดเวลา แนะนำให้คุณหาทางหลีกหนีออกมา
สำหรับคนที่ชอบคิดว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เรื่องสักอย่าง
แทนที่จะคิดว่า “เราทำได้แค่นี้” ให้มองอีกมุมว่า “เราทำได้แล้ว” ถึงผลลัพธ์จะออกมาไม่ดี แต่เราได้ลองทำอะไรที่มันใหม่ ๆ และมีความท้าทาย เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดว่าไม่มีอะไรดีเลย ให้ลองคิดทบทวนว่าได้ค้นพบสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ และตระหนักว่าตัวเองสามารถผ่านมันไปได้ใช่หรือเปล่า เมื่อทำแบบนี้แล้วก็จะสามารถมองโลกในแง่ดีขึ้นได้นั่นเอง
แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตัวเองทำได้ก็สามารถนับด้วยได้ เพราะแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ดูเล็กน้อยแค่ไหนแต่ มันไม่ใช่ทุกเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้อย่างแน่นอน ให้คิดว่าอย่างนี้ก็จะสบายใจขึ้น และมองโลกในแง่บวกขึ้น
คนที่มองหาข้อดีของตัวเองไม่เจอ
สำหรับคนที่มองหาข้อดีของตัวเองไม่เจอ แค่เปลี่ยนมุมมอง ข้อเสียที่ว่าก็จะกลายเป็นพรสวรรค์ในทันที เพราะเราอาจจะไม่เคยใส่ใจกับมันหรือไม่เคยมองมันเท่านั้นเอง
เช่น คุณคิดว่าคุณมีข้อเสีย คือ เป็นคนอ่อนไหวง่าย เราสามารถมองมันเป็นข้อดีว่าได้ว่า เราเป็นคนละเอียดอ่อน ได้เช่นกัน หรือ อย่างการร้องไห้ง่าย ก็สามารถมองเป็นข้อดีได้ว่า เป็นคนที่ซื่อตรงต่อความรู้สึกของตัวเอง
คนเรามีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีเหมือนกับเหรียญที่มี 2 ด้าน ด้านที่เราไม่ชอบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ เลวร้าย หรือ เป็นศัตรู แค่เราพิจารณานิสัยนั้นในมุมกลับเราก็จะพบข้อดีของตัวเอง
แบกรักความรับผิดชอบไว้มากเกินไป
สำหรับคนที่แบกรักความรับผิดชอบไว้มากเกินไป เราไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบท่าทีและความสุขของอีกฝ่าย คนที่แบบรับความรับผิดชอบต่อความรู้สึก สภาพ และสถานการณ์ ของคนอื่นราวกับว่าเป็นของตัวเอง แบบนี้จะรู้สึกเหมือนเหนื่อยกับความสัมพันธ์ต่อผู้อื่นได้ง่าย ไม่ว่าคนรอบข้างจะมองเราอย่างไร คุณค่าของตัวเราก็ไม่ได้ลดลง และเราควรแยกแยะเรื่องของตัวเองออกจากคนอื่นและได้เป็นเจ้าชีวิตของตัวเอง
บางครั้งเราอยากจะส่งข้อความหาคนอื่น แต่ว่ากลัวรบกวน ในหนังสือเล่มนี้ให้แนวคิดว่า การบอกออกไปเป็นโจทย์ของเรา ส่วนจะรบกวนหรือไม่นั้นเป็นส่วนของอีกฝ่าย
และเวลาที่มีความกังวล คุณไม่ต้องทำอะไร แค่ขอบคุณตัวเองที่พยายามมาตลอดก็พอ ถ้ามีเรื่องที่ทำไม่ได้ก็ให้ยอมรับอย่างตรงไปตรงนะ “ว่าฉันทำไม่ได้” ก่อนที่จะคิดหาทางแก้ไขปัญหา เราควรทำจิตใจให้สงบก่อน
ให้อภัยตัวเองในวันนี้เพื่อตัวเองในวันพรุ่งนี้ดีกว่า
หนังสือเน้นเรื่องการขีดเส้นแบ่งของตัวเองกับคนอื่นค่อนข้างมาก ซึ่งเนื้อหาเกี่ยวกับการขีดแบ่งระหว่างตัวเองกับคนอื่นหลายส่วนก็มีความคล้ายกับหนังสือเรื่อง “ชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวพอที่จะอยู่อย่างอดทน” ที่เคยอ่าน