หนังสือ ไม่สำคัญว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา เราใช้เวลาอ่านเวลาเดินทางรถไฟฟ้าแค่ 3 เที่ยว ก็จบเล่มแล้ว ไม่รู้ว่าเราอ่านเร็ว หนังสือเล่มเล็ก เนื้อหาสั้น หรือเราใช้เวลาเดินทางรถไฟฟ้านานพอที่จะอ่านหนังสือจบได้ และเล่มที่ถือเป็นหนังสือเล่มที่ 14 ของปี 2023 อ่านต่อจาก “แค่คนเก็บตัว My Introvert Story”
หนังสือ ไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เกี่ยวกับการเรียนรู้และเข้าใจชีวิตว่าเราจะตอบสนองสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาให้ดีขึ้นได้อย่างไรเพื่อออกแบบและสร้างชีวิตให้เป็นอย่างที่เราต้องการ มอบแนวคิด วิธีการรับมือกับปัญหา จัดการเรื่องราวและปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต
ประกอบไปด้วย 30 วิธีคิดเพื่อการมีชีวิตที่ราบรื่นและดีขึ้นกว่าเดิม ในบทคำนำผู้เขียนได้หยิบยกคำกล่าวของเดนนิส พี. คิมโบร ที่ว่า ชีวิตคือสิ่งที่เกิดขึ้น 10% ส่วนอีก 90% เป็นวิธีที่เราตอบสนองมัน
เพราะชีวิตคือสิ่งที่ไม่แน่นอน มีทั้งขาขึ้น และขาลง มีวันดี และวันร้าย เราควบคุมไม่ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่เราเลือกได้ว่าเราจะจัดการกับมันอย่างไร
แค่เราเลือกตอบสนองสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นจะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นมาก ถ้ามีสิ่งใดเกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือร้ายนั่นคือชีวิตที่เรา ต้องยอมรับและเผชิญหน้ากับมันต่อไป บางคนอาจจะโชคดีทำอะไรก็สำเร็จ บางคนโชคร้ายหน่อยต้องก้มหน้าก้มตารับกรรม แต่ก็ไม่มีใครหนีสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตหรือโชคชะตาได้
พลังในการแก้ปัญหาและจัดการชีวิตอยู่กับเรา ไม่ใช่คนอื่นหรือโลกภายนอก เราไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้ จะมีสิ่งต่าง ๆ ผ่านเข้ามาเรื่อย ๆ มีทั้งเรื่องดี และเรื่องร้าย ถ้าเราตอบสนองต่อทุกสิ่งอย่างขาดสติและปล่อยให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมามีอิทธิพลกับเราทั้งหมดหรือแบบ 100% ชีวิตเราก็จะเป็นไปตามนั้นแบบเลี่ยงไม่ได้
บางครั้งเราแคร์หรือสนใจสายตาคนอื่นที่มองมายังเรา เวลาจะทำอะไรสักอย่างเราจะกังวลว่าคนอื่นคิดยังไงกับเรา จะรู้สึกยังไงกับเรา แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่มีใครที่จะมองเราตั้งแต่แรก ทุกคนต่างสนใจแค่ชีวิตของตัวเอง คนอื่นจะคิดจะพูดอะไรล้วนแต่สะท้อนทัศนคติส่วนตัวของเขา มากกว่าจะพูดถึงเราโดยตรง ความจริงคือไม่มีใครแคร์และสนใจเราเลย ถ้าคิดแบบนี้แล้วความกลัวและความกังวลใจของเราก็จะลดลงทันที
เราชอบเนื้อหาในบทที่ 8 ว่าด้วยสิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิด มีการหยิบยกผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าใน 1 วันตาของเรามองเห็นมากกว่าหมื่นอย่าง แต่สมองจะคัดกรองเพื่อให้มองเห็นจริง ๆ แค่ 2,000 อย่าง เพราะหากพิจารณาทุกเรื่องจะใช้เวลานานมาก การตีความและการตัดสินต่าง ๆ อย่างรวดเร็วช่วยให้สมองไม่เหนื่อย และใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งที่เห็นอาจไม่เป็นอย่างที่คิดอย่าเพิ่งตัดสินทุกเรื่องเร็วไป บางเรื่องให้เวลาศึกษาและทำความเข้าใจหรือดูท่าทีก่อน
เรื่องที่เราคิดว่าใช่ดีถูกใจจริงๆอาจไม่ดีก็ได้
เรื่องที่เราคิดว่าไม่ดีแย่ทำไมต้องเกิดขึ้นกับเราอาจจะมีสิ่งดีๆซ่อนอยู่ก็ได้
เพราะสิ่งที่เห็นไม่เป็นอย่างที่คิดเสมอไป
อีกเรื่องที่ชอบคือในบทที่ 9 ถ้าเริ่มไปแล้วเราจะอยากทำมันต่อไปอีก เวลาเราตั้งใจจะทำบางสิ่งบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ เช่น การอยากออกกำลังกาย
สิ่งที่น่าสนใจคือเรารู้ทำว่าการทำตามเป้าหมายเหล่านั้นให้เป็นจริงได้ยังไง เรื่องนี้มีกลไกของสมองหลอกเราอยู่ เพียงแค่เราต้องรู้ทัน โดยพื้นฐานสมองเราจะประหยัดพลังงานไว้ก่อน เพื่อเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉินสำหรับเอาชีวิตรอด
ดังนั้นเวลาเราอยากทำอะไร เช่น อยากตื่นเช้าไปวิ่งออกกำลังกาย สมองจะกังวลล่วงหน้า คือเห็นภาพที่เราวิ่ง 10 กิโลเมตรเสร็จสิ้นเรียบร้อยจนหมดแรง เลยกังวลว่าหากวิ่งเสร็จใช้พลังงานสำรองไปและเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมาเราจะหนีไม่พ้น
สมองเห็นกิจกรรมที่ทำสมบูรณ์แบบไปแล้ว เวลาตั้งใจทำอะไรสมองจึงต่อต้านดื้อขี้เกียจไม่ยอมทำตามส่วนใหญ่เราจะพ่ายแพ้
วิธีแก้คือ เราต้องหลอกสมองว่าเราจะทำมันแค่นิดเดียวจะทำมันแค่ 5 นาที หรือทำน้อย ๆ เช่น บอกสมองว่าเราจะไปวิ่งแค่ 5 นาที เคล็ดลับในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้ลุล่วงจึงไม่ใช่ ความเก่ง ความขยัน หรือความพยายามเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การเริ่มได้หรือเปล่า เพราะถ้าเริ่มทำไปแล้ว เราจะอยากทำมันต่อไปอีก เคล็ดลับง่าย ๆ คือลองทำสิ่งต่าง ๆ และบอกตัวเองว่าจะทำมันแค่ 5 นาที
ไม่สำคัญว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเรา แต่สำคัญว่าเราจัดการกับมันอย่างไร ถ้าเราเลือกตอบสนองต่อสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นจะช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้นมาก หนังสือ ไม่สำคัญว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา เล่มนี้เหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวอายุ 20 ถึง 30 ปี ที่ค่อนข้างหวั่นไหวได้ง่าย หวังว่าจะมีประโยคหรือบางบทความที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่านได้ค้นพบแนวทางของชีวิตได้